เทศกาลเต็ด (Tet) หรือ "เต็ดเหงียนดาน" (Tet Nguyen Dan) :
หมายถึง เทศกาลรุ่งอรุณแรกของปี ถือเป็นเทศกาลทางศาสนาที่สำคัญที่สุด โดยจะเริ่มต้นขึ้น 1 สัปดาห์ก่อนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ ตามจันทรคติคือ อยู่ระหว่างปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ในวัน ขึ้น 15 ค่ำ ของวันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในฤดูหนาวกับวันที่ กลางวันยาวเท่ากับกลางคืน (วิษุวัต) ในฤดูใบไม้ผลิเป็นการเฉลิมฉลองความเชื่อในเทพเจ้า ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ และศาสนาพุทธ รวมทั้งเป็น การแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษด้วย
เทศกาลฤดูใบไม้ร่วง :
จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวบ้านจะประกวดทำขนมเปี๊ยะโก๋ญวนหรือบันตรังทู และมีการจัดขบวนเชิดมังกร เพื่อแสดงความเคารพต่อพระจันทร์
![]() |
ชุดประจำชาติ หญิง : สวมชุด "อ่าว หญ่าย" (Ao Dai) เป็นเสื้อคลุมยาวคอตั้ง กับกางเกงขายาว ชาย : สวมชุดที่คล้ยกับผู้หญิง แต่มีกระดุมที่ตัวเสื้อ |
![]() |
อาหารประจำชาติ แหนม (Nem) หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม : เป็นแผ่นแป้งข้าวเจ้าห่อเนื้อสัตว์รวมกับผักต่างๆ รับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน และเครื่องเคียงอื่นๆ |
![]() |
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกบัว (Lotus) |
![]() |
ทิศเหนือ ติดกับประเทศจีน (728 กิโลเมตร)
ทิศใต้ ติดกับทะเลจีนใต้ และอ่าวไทย
ทิศตะวันออก ติดกับอ่าวตังเกี๋ยและทะเลจีนใต้
ทิศตะวันตก ติดกับประเทศกัมพูชา (982 กิโลเมตร) และประเทศลาว (1,555 กิโลเมตร)
พื้นที่ประมาณ 75% ของประเทศ ประกอบด้วยภูเขาและป่าไม้ บริเวณแผ่นดินทั้งหมดของเวียดนาม มีพื้นที่ราว 331,690 ตารางกิโลเมตร นอกนั้นเป็นไหล่เขาและหมู่เกาะต่าง ๆ นับพันเกาะเรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ย ไปจนถึงอ่าวไทย นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญสองแห่งคือ
ที่ราบลุ่ม ปากแม่น้ำแดง (Red River Delta) ทางภาคเหนือ
ที่ราบลุ่มปากแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) ทางทิศใต้
เวียดนามเป็นประเทศที่มีพื้นที่แคบ แต่มีความยาวมาก ทำให้ลักษณะภูมิประเทศ และภูมิอากาศแตกต่างกันค่อนข้างมาก โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้
ภาคเหนือ : ประกอบด้วยภูเขาสูง เช่น เทือกเขาฟานซีปาน ซึ่งมีความสูงประมาณ 3,143 เมตร แม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำกุง (Cung) ซึ่งไหลบรรจบกับแม่น้ำแดง เกิดเป็นสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแดง (Red River Delta) ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก นอกจากนี้ยังมีที่ราบลุ่มที่สำคัญ ได้แก่ Cao Bang, Vinh Yon และ อ่าว Halong Bay
ภาคกลาง : พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง ประกอบด้วยหินภูเขาไฟ หาดทราย เนินทราย และทะเลทราย
ภาคใต้ : พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง และมีที่ราบลุ่มที่สำคัญ คือ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง (Mekong River Delta) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กู๋ลองยาง" (Cuu Long Giang) ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกสำคัญขนาดใหญ่ สุดของเวียดนาม
สภาพภูมิอากาศ
เป็นเขตมรสุมฤดูร้อน แต่มีความแตกต่างด้านภูมิอากาศอย่างมากในแต่ละภาคของประเทศ
ภาคเหนือ : มีภูมิอากาศคล้ายเขตเมืองร้อน มีอุณหภูมิ แตกต่างกันอย่างมากระหว่างช่วงร้อนที่สุดและหนาวที่สุด โดยมี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - เมษายน), ฤดูร้อน (พฤษภาคม - สิงหาคม), ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน - พฤศจิกายน) และฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์)
ภาคกลางและภาคใต้ : มีภูมิอากาศคล้ายแถบเส้นศูนย์สูตร มีอุณหภูมิ เฉลี่ย คล้ายประเทศไทยคือประมาณ 27 30 ํ c และมี 2 ฤดูู คือ ฤดูฝน (พฤษภาคม - ตุลาคม) และ ฤดูแล้ง (ตุลาคม - เมษายน)
เกี่ยวกับด้านทรัพยากร เวียดนามจัดว่าเป็นประเทศที่มีีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพลังงานและแร่ธาติ เวียดนามมีแหล่งน้ำมันดิบกระจายอยู่ทั่วทุกภาค ทำให้เวียดนาม เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอันดับสามของอาเซียน (รองจากมาเลเซียและอินโดนีเซีย)
นอกจากน้ำมันแล้ว เวียดนามยังมีก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน อีกมากมายเช่นเดียวกัน สำหรับผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตร เวียดนามส่งออกสินค้าหลายตัว เช่น ส่งออกพริกไทยเป็นอันดับหนึ่งของโลก ส่งออกข้าว เป็นอันดับสองของโลก (รองจากไทย) ส่งออกกาแฟเป็นอันดับสองของโลก (รองจากบราซิล) และส่งออกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นอันดับสองของโลก (รองจากอินเดีย) เป็นต้น
สินค้านำเข้าที่สำคัญ : วัตถุดิบ วัสดุสิ่งทอ เครื่องหนัง เครื่องจักรผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
สินค้าส่งออกที่สำคัญ : น้ำมันดิบ เสื้อผ้าและสิ่งทอ อารหารทะเล ยางพารา ข้าว กาแฟ รองเท้า
ตลาดนำเข้าที่สำคัญ : สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ จีน
ตลาดส่งออกที่สำคัญ : สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน
สกุลเงิน : ด่อง (Dong) ตัวย่อ VND
อัตราแลกเปลี่ยน : 702 ด่อง = 1 บาท
(ข้อมูล พฤษภาคม ปี 2556) : 20,925 ด่อง = 1 ดอลลาร์สหรัฐ
จุดแข็ง
: จำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 14 ของโลก (ประมาณ 86 ล้านคน)
: มีปริมาณสำรองน้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก
: มีแนวชายทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร
: การเมืองมีเสถียรภาพ
: ค่าจ้างแรงงานเกือบต่ำสุดในอาเซียน (รองจากกัมพูชา)
จุดอ่อน
: ระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
: ต้นทุนที่ดินและค่าเช่าสำนักงานค่อนข้างสูง
![]() |
![]() |
ธงชาติ |
ตราแผ่นดิน |
ฝ่ายนิติบัญญัติ
ได้แก่ สภาแห่งชาติ (Quoc Hoi หรือ National Assembly) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศ มีหน้าที่บัญญัติและ แก้ไขกฎหมาย แต่งตั้งประธานาธิบดีตามที่พรรคคอมมิวนิสต์เสนอ ให้การ รับรอง หรือถอดถอนนายกรัฐมนตรีตามที่ประธานาธิบดีเสนอ รวมทั้งแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ อันเป็นระบบการบริหารแบบผู้นำร่วม
ฝ่ายบริหาร ( หรือรัฐบาลส่วนกลาง )
ประกอบด้วย ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี รวมไปถึงตำแหน่งสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ เช่น สมัชชาของพรรคคอมมิวนิสต์ มีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี มีหน้าที่พิจารณา ให้ความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานขององค์กรบริหารระดับสูง เลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์ เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของพรรค คณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กรมการเมือง (Politburo) เป็นองค์กรบริหารสูงสุด เป็นศูนย์ กลางอำนาจในการกำหนดนโยบาย และควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
การปกครองท้องถิ่น
ในแต่ละจังหวัดจะมีคณะกรรมการประชาชน (Provincial Peoples Committee) ทำหน้าที่บริหารงานภายในท้องถิ่นให้เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ นโยบายและกฎระเบียบต่างๆ ที่บัญญัติโดยองค์กรของรัฐที่อยู่ในระดับสูงกว่า ระบบการบริหารราชการท้องถิ่นของเวียดนามแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
ระดับจังหวัดและเทียบเท่า มี 59 จังหวัด กับอีก 5 นคร คือ ฮานอย โฮจิมินห์ ไฮฟอง ดานัง และเกิ่นเธอ ซึ่งจะได้รับงบประมาณจากส่วนกลางโดยตรง รวมทั้งข้าราชการจะได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากส่วนกลาง จึงมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ ช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารงาน
ระดับเมืองและเทศบาล มีประมาณ 600 หน่วย
ระดับตำบล มีประมาณหนึ่งหมื่นตำบล
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 รัฐบาลเวียดนามมีมติยกระดับ เมืองวินห์ (Vinh) ขึ้นเป็นนครอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับ เกิ่นเธอ ดานัง และไฮฟอง ในปี 2555
จะเห็นได้ว่า ในช่วง 2 ปีแรกหลังจากการเข้าร่วมเป็นสมาชิกในอาเซียน เวียดนามได้พยายามปรับตัวทางการค้าในการเข้าร่วมกับ AFTA (อาฟตา) ปรับตัวด้านการลงทุนและการท่องเที่ยว อีกทั้งปรับระบบให้สอดคล้องกับระบบของประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เช่น การยกเลิกการขอวีซ่าเข้าประเทศเวียดนามสำหรับผู้ถือพาสปอร์ตทางการทูตและทางราชการจากประเทศอาเซียนด้วยกัน ผลจากการปรับตัวทางการค้า ทำให้เวียดนามก้าวสู่แนวทางความเป็นเสรีทางการค้า
นับตั้งแต่เวียดนามเปิดประเทศและประกาศกฎหมายว่าด้วยการลงทุนต่างชาติ ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างก็ให้ความสนใจและพยายามแสวงหาโอกาสเข้าไปลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามมีจุดเด่นตรงที่เป็นตลาดใหญ่ มีความสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติ มีแรงงานที่มีศักยภาพและมีราคาเกือบต่ำสุดในอาเซียนรองจากกัมพูชา การมีเวียดนามเป็นสมาชิกเพิ่มขึ้นจะทำให้อาเซียนมีประชากรเพิ่มขึ้น และจะทำให้อาเซียนมีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการต่อรองทางการเมือง
ปัจจุบันเวียดนามมีความโดดเด่นในเชิงเศรษฐกิจในอาเซียน คือ เวียดนามตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่เอื้อต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยมีแนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า 3,200 กิโลเมตร มีแห่งทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน โดยมีปริมาณสำรองน้ำมักมากเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิก และสามารถส่งออกน้ำมันดิบได้มากเป็นอันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย มีประชากรอ่านออกเขียนได้สูงเกือบร้อยละ 100 ทั้งยังสามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา คือ อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น มีค่าแรงยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ช่วยดึงดูดทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในเวียดนาม ขณะเดียวกันเวียดนามก็มีจุดอ่อนในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ประชากรส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน ทำให้เศรษฐกิจเวียดนามในปัจจุบันต้องพึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ทั้งยังมีต้นทุนที่ดินและค่าเช่าสำนักงานค่อนข้างสูง